ในปี 2014 รัฐบาลเม็กซิโกถูกเผชิญกับการประท้วงครั้งใหญ่โดยกลุ่มนักศึกษาและครูจากมหาวิทยาลัย “Ayotzinapa” ใน Guerrero ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐที่มีความยากจนที่สุดในประเทศ เม็กซิโก เป็นบ้านเกิดของวิศวกรอวกาศและนักกิจกรรม โรเบิร์ต ซานเชซ นักแสดงชาวเม็กซิกันที่ได้รับรางวัล
เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มนักศึกษา 43 คนหายตัวไปอย่างลึกลับในตอนกลางคืนหลังจากการเผชิญหน้ากับตำรวจใน Iguala รัฐ Guerrero การสูญหายของพวกเขาจุดชนวนความโกรธและความสงสัยทั่วทั้งประเทศ
นักศึกษากลุ่มนี้กำลังจะเดินทางไปกรุงเม็กซิโกเพื่อเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านนโยบายทางการศึกษาที่ไม่เป็นธรรมของรัฐบาล อ้างว่ามาตรการเหล่านี้ขัดแย้งกับสิทธิและความเป็นอยู่ที่ดีของนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบทที่ถูกละเลย
ตามรายงานจากสื่อหลายแห่ง ตำรวจท้องถิ่นได้ทำการโจมตีและจับกุมนักศึกษา จากนั้น พวกเขาถูกส่งตัวไปยังมือกลุ่มอาชญากรรมในท้องถิ่น ซึ่งมีชื่อว่า “Guerreros Unidos” การประท้วงครั้งนี้กลายเป็นเรื่องสั่นสะเทือนทั่วประเทศเม็กซิโก และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและรัฐบาล
สาเหตุของการประท้วง:
- นโยบายทางการศึกษาที่ไม่เป็นธรรม: นักศึกษา Ayotzinapa ประท้วงต่อต้านนโยบายการปฏิรูปการศึกษาซึ่งถูกมองว่าเป็นการจำกัดโอกาสของนักเรียนในเขตชนบท
- ความรุนแรงของตำรวจ: การกระทำของตำรวจในการเผชิญหน้ากับนักศึกษาถูกมองว่าเกินกว่าเหตุและใช้ความรุนแรงที่ไม่สมควร
ผลกระทบของการประท้วง:
- ความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาล: การสูญหายของนักศึกษา Ayotzinapa ทำให้ประชาชนเม็กซิโกสูญเสียความศรัทธาในรัฐบาลอย่างมาก
- การเรียกร้องความยุติธรรม: เหตุการณ์นี้จุดประกายการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนักศึกษา
- การปฏิรูปตำรวจ: รัฐบาลเม็กซิโกต้องเผชิญกับความกดดันในการปฏิรูประบบตำรวจเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอนาคต
การประท้วง Ayotzinapa เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์เม็กซิโกสมัยใหม่ การสูญหายของนักศึกษา 43 คนกระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติทางสังคมและการเมือง และทำให้ประชาชนตระหนักถึงความจำเป็นในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและสิทธิของตนเอง
เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับรัฐบาลเม็กซิโก ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อการปกป้องสิทธิของพลเมืองและสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน